ว่าความ
บริษัท เจ ที ลีเกิ้ล จำกัด
JT Legal Consult
ปรึกษาปัญหากฎหมาย ฟรี
+66 2094 0889
+66 2094 0890
จ. - ศ.
เวลาทำการ 08:30 น. - 17.30 น.
เวลาทำการ 08:30 น. - 17.30 น.
-
-
คดีแรงงาน
-
คดีแรงงาน
หลักในการการพิจารณาคดีแรงงานนั้น ศาลจะกระทำด้วยความรวดเร็ว ฉะนั้นต้องมีที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกระบวนการการพิจารณาคดีของศาลแรงงานทนายความมีหน้าที่เตรียม พยานหลักฐาน ให้พร้อมไว้และควรไปศาลตามกำหนดนัดทุกครั้ง เพื่อให้ศาลพิจารณาได้ทันที
การดำเนินคดีในศาลแรงงานนั้น โดยหลักแล้วศาลจะพยายามไกล่เกลี่ยให้โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันเสมอ ทั้งนี้เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้มีความเข้าใจอันดีกันต่อไป โดยไม่มีฝ่ายใดได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายแพ้หรือฝ่ายชนะ โจทก์และจำเลยจึงควรเข้าใจ และให้ความร่วมมือกับวิธีการของศาลโดยในการเจรจาไกล่เกลี่ยต้องอาศัยทนายความที่มากประสบการณ์ร่วมเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อรักษาผลประโยชน์ของลูกความให้ดีที่สุด
ขั้นตอนในการดำเนินคดี
นายจ้าง ลูกจ้าง ผู้มีสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายหรือผู้กระทำการแทน เข้ามาพบทนายความและแจ้งข้อเท็จจริงต่าง ๆให้แก่ทนายความได้ทราบ ทนายความมีหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงและปรับเข้ากับกฎหมายที่รับรองคุ้มครองสิทธิอยู่ จัดทำคำฟ้องและยื่นฟ้องโดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อหน้าศาล
แต่หากท่านตกเป็นจำเลยได้รับสำเนาคำฟ้องไว้แล้ว มีหน้าที่จะต้องยื่นคำให้การก่อนวันนัดพิจารณาหรือไปให้การในวันนัดทีเดียวก็ได้ในวันนัดพิจารณา ทั้งสองฝ่ายต้องมาศาล ซึ่งหลังจากที่ท่านได้รับสำเนาคำฟ้องแล้วต้องรีบติดต่อทนายความเพื่อรับคำปรึกษาจากทนายความประเมินแนวทางการต่อสู้คดี รวบรวมข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงกำหนดแนวทางการต่อสู้คดี รวบรวมเป็นคำให้การต่อสู้คดียื่นต่อศาล ซึ่งในแต่ละขั้นตอนต้องอาศัยทนายความผู้มากด้วยประสบการณ์ และ คอยดูแลกระบวนการต่าง ๆให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของลูกความให้ดีที่สุด
ข้อพิพาทในคดีแรงงานส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่อง การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม กล่าวคือ การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือเลิกจ้างโดยไม่มีกฎหมายกำหนดให้เลิกจ้างได้ ซึ่งความจริงแล้วนายจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างลูกจ้างได้ แม้ว่าลูกจ้างไม่ได้กระทำผิดต่อนายจ้าง แต่นายจ้างจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมายแรงงาน
แต่อย่างไรก็ตามนายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างและเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ซึ่งเลิกจ้างในกรณีดังต่อไปนี้
1.ลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
2.จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
3.ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
4.ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีร้ายแรงนายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน หนังสือตักเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด
5. ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร
6.ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ(คือ จำคุกไม่เกิน 1เดือน ปรับไม่เกิน 1,000บาท)
เมื่อถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรมสิทธิของลูกจ้าง สามารถเลือกปฏิบัติได้ 2 อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้